Miracles

Home | Miracles | Page 29

The Bible is full of miracles that speak of a living God. He is the God that makes the impossible, possible! He makes all things work together for good. He wants to bless you! “A Miracle Every Day” will help you develop your faith and experience the presence and power of God!

ทำไมต้องแสวงหาพระเจ้า?

ตามหลักการแล้ว เมื่อเราจะหาใครสักคนหรืออะไรสักอย่าง มันจะเป็นเพราะว่าเรารู้สึกว่าเราต้องการสิ่งเหล่านั้น ฉันเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนโดยธรรมชาติแล้วพยายามที่จะเติบโตและเบ่งบานโดยการแสวงหาอะไรบางอย่าง เช่น แต่ “การแสวงหา” ในที่นี่ไม่ได้หมายถึง “การหา” อย่างที่เราคิดเสมอไป มันอาจจะหมายถึงว่า เรายังไม่ได้แสวงหาในสิ่งที่ถูกต้อง คนที่ถูกต้อง ที่ที่ถูกต้อง หรือด้วยวิธีการที่ถูกต้องจริงๆ ก็ได้ แต่สำหรับคนที่กำลังสิ้นหวังมักมีความคิดว่า “ยิ่งหา ยิ่งไม่เจออะไรเลย” สำหรับพระเจ้าแล้ว นั่นตรงข้ามกับพระคำของพระองค์เลย  “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” เยเรมีย์‬ ‭29‬:‭13‬  จริงๆแล้ว เมื่อคุณแสวงหาพระเจ้า พระเจ้าจะทรงเปิดเผยพระองค์เองกับคุณ ยิ่งคุณเข้าใกล้พระองค์มากเท่าไหร่ พระองค์ก็จะยิ่งเข้าใกล้คุณมากขึ้นเท่านั้น (ดูพระคัมภีร์…

เมื่อพระเจ้าบอกว่าจะให้ พระองค์จะให้

มีสุภาษิตในภาษาฝรั่งเศสบอกว่า “การให้คือ การให้ ส่วนการทวงคืนคือการขโมย” สิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับคุณ พระองค์ทรงให้คุณจริงๆ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่กลับคำในสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ พระองค์จะทำอย่างแน่นอน (ดูในพระธรรม เยเรมีย์ 1:12)  ดังนั้น เมื่อพระองค์ประทานบางอย่าง พระองค์จะไม่เอาคืน ย้อนกลับไปที่พระคำของพระองค์ ซึ่งแปลได้อีกอย่างคือ พระองค์จะทรงเฝ้าดูพระวจนะของพระองค์อย่างระมัดระวังเพื่อจะทำให้มันเกิดขึ้น และสำเร็จ พระองค์ทรงรักษาคำพูดเสมอ  เช่นนั้นแล้ว เมื่อพระเจ้าตรัสว่าจะประทานพันธสัญญาใหม่ให้เพื่อความรอดของมนุษย์ พระองค์ก็ทรงทำสิ่งนั้นให้สำเร็จด้วยวิธีการที่ชาญฉลาดและเหลือเชื่อ เพื่อจ่ายราคาความบาปของมนุษย์อย่างเต็มจำนวน โดยการประทานชีวิตพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ พระองค์ให้พระเยซูลงมาเพื่อเรา โดยไม่เรียกการช่วยเหลือนี้กลับคืน  ดังนั้น เมื่อพระเยซูตรัสว่า พระองค์จะประทานสันติสุขของพระองค์แก่เรา…

ความเชื่อของคุณในพระเยซูมีพลังมาก

คุณรู้หรือไม่? ในการแสดงรถของปารีส มีการจัดแสดงรถคันแรกของโลกที่สั่งการด้วยความคิดได้? เราสามารถสตาร์ทรถโดยใช้สมองสั่งการได้ ในความเป็นจริงแล้ว วิธีการมันค่อนข้างง่ายแต่ก็ซับซ้อนในเวลาเดียวกัน มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้กับรถยนต์คันนั้น พร้อมกับมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกที่เชื่อมต่อสมองของเขาเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์เล็กๆในรถ หลังจากนั้น ชายคนนั้นจะต้องพยายามเพ่งความสนใจไปที่ความคิดเดียวเท่านั้นคือการ สตาร์ทรถ และไม่นานรถคันนั้นก็สตาร์ทขึ้น “ด้วยตัวมันเอง” แนวคิดนี้คงจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อเลยก็ว่าได้ สำหรับเมื่อหลายปีก่อน แต่… เทคโนโลยีแบบนี้ค่อนข้างทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจมากเมื่อมันสามารถเชื่อมต่อกับความสามารถทางความคิดของเราได้ด้วย… คุณรู้ไหมว่าความเชื่อของคุณมีพลังที่เหนือกว่า “ปัญญาประดิษฐ์” นี้เป็นล้านเท่า? พระเยซูของย้ำกับสาวกของพระองค์ว่า “เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น” ‭‭มาระโก‬ ‭11‬:‭24‬  พระเยซูทรงสัญญาเช่นนี้กับคุณเหมือนกัน “เพราะเจ้าเชื่อในเรา…

คุณจะได้รับรางวัลจากความเชื่อของคุณ

คุณรู้หรือไม่ว่า คุณเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ถือว่ามีความสุขนะคะ? “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”” ‭‭ยอห์น‬ ‭20‬:‭29‬ ‬‬ เพราะคุณเชื่อแม้จะไม่ได้เห็น พระเยซูทรงเรียกคุณว่า “เป็นสุข” สำหรับคุณที่เชื่อ ทั้งที่คุณไม่เคยเห็นหรือไม่เคยสัมผัสพระเยซูด้วยมือของคุณ คุณจงรู้ไว้ว่าความเชื่อที่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นมีคุณค่าอย่างยิ่ง! แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งคุณและฉันต่างก็มีช่วงเวลาที่สับสนวุ่นวายเช่นกัน ความกลัวและความสงสัยสามารถเข้ามาโจมตีความคิดจิตใจของเราได้เมื่อเราเผชิญกับช่วงเวลาที่ยาก  คุณรู้ไหมคะว่า… ความกลัวคือสิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อ และมันก็แข็งแกร่งกว่าคุณมากด้วย ความกังวลสามารถรบกวนจิตใจคุณได้ และมันสามารถกลายเป็นอุปสรรคในการที่คุณจะยังคงเชื่อแม้จะยังไม่เห็นผล แต่จงรู้ไว้เถอะว่า พระเจ้าทรงเข้าใจคุณ เพราะพระเยซูเองก็ทรงประสบกับช่วงเวลาที่ถูกทดสอบความเชื่อเช่นกัน นั่นคือความเจ็บปวดแสนสาหัสในสวนเกทเสมนีขณะเข้าใกล้การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ดังนั้น ฉันอยากหนุนใจคุณว่า อย่ากลัวที่จะวางความวางใจทั้งสิ้นของคุณไว้ที่พระเยซู พระองค์จะไม่ทรงหลอกลวงคุณ…

บากบั่นจนเห็นผล (วินัยที่ 7)

วันนี้ ฉันอยากแบ่งปันคำพยานจากผู้อ่านท่านหนึ่งของเรากับคุณ เธอได้เห็นว่าชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเธอ “ตั้งแต่วันที่ฉันเริ่มรับข้อความจาก ‘อัศจรรย์เกิดขึ้นได้ทุกวัน’ ฉันก็เริ่มรับรู้พระเจ้ามากขึ้นและมากขึ้นในชีวิตของฉัน ในปี 2007 ฉันกลับบ้านเกิดของฉัน ฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่มีอาการลมชัก เวียนศีรษะ ชัก และไมเกรนขั้นรุนแรง จนฉันไม่สามารถขับรถหรือออกไปข้างนอกคนเดียวได้อีกต่อไป… หลังจากที่ฉันรับคำหนุนใจจาก ‘อัศจรรย์เกิดขึ้นได้ทุกวัน’ ฉันได้ตระหนักว่าพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยฉันและพาฉันผ่านความเจ็บป่วยนี้ที่บั่นทอนสุขภาพของฉันและขัดขวางฉันจากการมีความสุขกับชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ฉัน และพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของฉัน ตอนนี้ฉันได้รับการรักษาแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนว่าฉันได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้ง ฉันไม่ใช่คนเดิมที่ฉันเคยเป็นอีกแล้ว ฉันได้ความสงบสุขของฉันคืนกลับมา ฉันไม่อารมณ์เสียอีกต่อไป ฉันต้องขอการอภัยจากคนอื่นๆรอบข้างฉันที่ฉันเคยหงุดหงิดใส่พวกเขา ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าฉันมีชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ได้รับการเติมเต็มด้วยความสงบสุขอย่างที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อนตั้งแต่เป็นวัยรุ่น” ตลอดสัปดาห์นี้ ฉันขอหนุนใจคุณที่จะพัฒนาวินัยที่ดีเพื่อรักษาความตั้งใจดีต่างๆของคุณ หรืออย่างน้อยที่สุดอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตฝ่ายวิญญาณของคุณ  สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การเริ่มต้น…

ฟังเสียงพระเจ้า (วินัยที่ 6)

นี่คือข้อความจากพระคำแห่งความจริงขององค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับคุณ…ฉันอธิษฐานที่สิ่งนี้จะเป็นพรต่อชีวิตของคุณ  เราเป็นพระเจ้าแห่งจักรวาล ผู้ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ดังเช่นดวงดาวที่ถูกสร้างขึ้นด้วยลมปากของเรา รวมถึงสวรรค์และแผ่นดินโลกที่สร้างขึ้นด้วยการตรัสของเรา ตั้งแต่ยอดเขาสูงสุดไปจนถึงส่วนลึกของมหาสมุทร ไม่มีอะไรหนีรอดไปจากเราได้ โลกก็สั่นสะเทือนภายใต้การจับจ้องของเรา และสั่นสะท้านเพราะสุรเสียงของเรา ไม่มีการเคลื่อนไหวใดของโลกนี้ที่เราจะไม่รู้ เพราะเรามีอำนาจอย่างไม่จำกัด บางครั้งเจ้าก็จินตนาการว่าเราอยู่ไกลแสนไกลในขณะที่เราอยู่ใกล้ เจ้าคิดว่าเรามัวยุ่งอยู่กับการดูแลโลกนี้จนไม่มีเวลาเพียงพอที่จะโอบอุ้มหัวใจของเจ้าไว้ในมือของเราหรือเปล่า? เราได้เรียกเจ้ามาและทำให้เจ้าเป็นลูกของเรา ชื่อของเจ้าถูกสลักไว้บนมือของเรา ในรอยแผลบนมือที่ถูกเจาะของพระบุตรของเรารู้ไว้เถอะว่า เราอยู่ที่นี่ เราอยู่ใกล้เจ้า เราอยู่ที่นี่ เจ้าไม่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว พระคัมภีร์อ้างอิง: สดุดี 33:1-9, มัทธิว 28:20, สดุดี 34:16-19  คุณคือการอัศจรรย์

การออกกำลังกายฝ่ายวิญญาณ (วินัยที่ 5)

การออกกำลังกายด้านร่างกายคือสิ่งที่ดี เป็นวินัยที่ดีที่จะเอาเข้าไปในชีวิตเพราะมันจะช่วยดูแลรักษาร่างกาย มีส่วนทำให้เกิดความสมดุลในส่วนต่างๆของร่างกายที่พระเจ้าทรงสร้าง  อย่างไรก็ตาม มีการออกกำลังกายประเภทหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน การออกกำลังกายฝ่ายวิญญาณที่ช่วยรักษาส่วนสำคัญของชีวิตเราให้มีสุขภาพที่ดีคือ… การนับพระพรจากพระเจ้า พระคัมภีร์เชิญชวนเราให้ “จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระยาห์เวห์ และอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์” (‭‭สดุดี‬ ‭103‬:‭2‬)  แปลอีกอย่างคือ “ให้ทั้งหมดที่ฉันเป็นที่สรรเสริญแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอที่ลูกจะไม่หลงลืมสิ่งดีมากมายที่พระองค์ทรงกระทำให้ลูก”  ทำไมน่ะหรอ? เพราะการสรรเสริญพระเจ้าเป็นประจำโดยไม่ลืมสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงกระทำช่วยให้เรารักษาทัศนคติของการขอบพระคุณ การสำนึกในพระคุณ และความถ่อมใจ ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น ฉะนั้น การนับพระพรของพระเจ้าคือสิ่งที่ดีสำหรับจิตวิญญาณของคุณ เป็นการออกกำลังกายยามเช้าที่ดีที่ควรฝึกฝนเป็นประจำทุกวัน วินัยที่ 5 คือ “สรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระพรประจำวันของพระองค์”  การปลูกฝังหัวใจแห่งการขอบพระคุณจะปกป้องคุณจากความขมขื่นและความผิดหวัง ให้ขอบคุณพระเจ้าทุกวัน…

ให้การอ่านพระคัมภีร์เป็นการเริ่มต้นวัน  (วินัยที่ 4)

เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น…คุณก็จะค่อยๆตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ  คุณเช็กโทรศัพท์ของคุณก่อน…หรืออ่านพระคัมภีร์ คุณคิดว่าอันไหนคือทางเลือกที่ยอดเยี่ยมกว่ากัน? ดังนั้น คุณรู้ว่าวันนี้คำถามก็คือ…อะไรคือสิ่งที่คุณอ่านเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า? ข่าวของโลกหรือข่าวของอาณาจักรสวรรค์? ฉันไม่ได้กำลังบอกว่าคุณไม่ควรรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกนี้ แต่เพียงแค่อย่าลืมที่จะยืนยันกับตัวคุณเองเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าจะตรัสกับคุณ อะไรคือสิ่งที่พระองค์ปรารถนาจะตรัส? พระองค์รู้สึกอย่างไร? พระองค์มีแผนการอย่างไร? และโดยเฉพาะ…พระองค์เป็นผู้ใด? ทั้งหมดนี้อยู่ในพระคำของพระเจ้า จงพยายามมองว่าการอ่านพระคัมภีร์เป็นการตามล่าขุมทรัพย์เพื่อค้นหาสติปัญญาและกำลังที่คุณต้องการในแต่ละวัน ดังนั้น วินัยที่ 4 คือ “อ่านพระคำพระเจ้าทุกวัน”  จงเพ่งความสนใจไปที่พระคำของพระเจ้า ดังที่ผู้เขียนสดุดีกล่าวไว้ว่า: “แม้พวกเจ้านายนั่งปรึกษากันต่อสู้ข้าพระองค์ แต่ผู้รับใช้ของพระองค์จะตรึกตรองกฎเกณฑ์ของพระองค์” (‭‭สดุดี‬ ‭119‬:‭23‬)  และ “พระหัตถ์ของพระองค์ได้สร้างและสถาปนาข้าพระองค์ ขอประทานความเข้าใจแก่ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้พระบัญญัติของพระองค์” (‭‭สดุดี‬…

บากบั่นในการอธิษฐาน (วินัยที่ 3)

เมื่อคุณตื่นขึ้น ใครคือคนแรกที่คุณพูดด้วย?  เป็นไปได้ว่าคนแรกที่ยินดีจะรับฟังคุณก็คือ องค์พระผู้เป็นเจ้า ผ่านคำอธิษฐานของคุณ และนั่นเป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากเลย  ฉันเชื่อว่าคำอธิษฐานคือการกระทำที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า ทำไมน่ะหรอ? ก็เพราะว่านี้คือสิ่งที่เชื่อมเรากับพระเจ้าเข้าด้วยกัน ผ่านคำอธิษฐานเราพูดคุยกับพระเจ้าและพระองค์ทรงตอบเรา และผ่านคำอธิษฐานคุณและพระเจ้าได้สนทนากันนะคะ พระคัมภีร์บอกว่า “จงอุทิศตัวในการอธิษฐาน จงเฝ้าระวังในเรื่องนี้ด้วยการขอบพระคุณ” (โคโลสี 4:2) และพระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่า “จงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาโดยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกๆ อย่าง เพราะเหตุนี้จงเฝ้าระวังด้วยความเพียรและด้วยการวิงวอนเผื่อธรรมิกชนทุกคนอยู่เสมอ และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าพูด พระองค์จะประทานถ้อยคำแก่ข้าพเจ้าที่จะสำแดงความล้ำลึกของข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ” (‭‭เอเฟซัส‬ ‭6‬:‭18‬-‭19‬)  เอเมน อธิษฐานเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าพูด พระองค์จะประทานถ้อยคำแก่ข้าพเจ้าที่จะสำแดงข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ กลับมาที่คุณกันเถอะค่ะ…