มันทำให้สับสนอย่างมากเมื่อคุณกำลังเจอประตูที่ปิดอยู่ ถึงแม้คุณคิดว่าคุณอยู่ในทางที่ถูกแล้วใช่ไหม?
“ทำไมพระเจ้าถึงให้สิ่งนี้เกิดขึ้น? ทำไมพระองค์นำฉันมาไกลขนาดนี้ ทั้งที่สุดท้ายแล้วไม่มีทางออกสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย?”
ฉันเคยถามตัวเองด้วยคำถามนี้เหมือนกัน ผู้นำนมัสการท่านหนึ่งแบ่งปันประสบการณ์ของเธอว่า… “หลังจากที่ฉันได้เดินทางไปรอบโลกด้วยเครื่องบิน เพื่อที่จะไปสอนนักเรียนขององค์กรคริสเตียนชื่อวายแวม (Youth with A Mission) ฉันได้เปิดใจต่อหน้าพวกเขา แบ่งปันความจริงที่สำคัญกับพวกเขาด้วยน้ำตาไหล ตอนบ่ายวันหนึ่ง ฉันนั่งอยู่ริมทะเลที่ฮาวาย มันฟังดูดีมาก แต่ฉันกลับร้องไห้ เหนื่อย ท้อ และผิดหวัง ทำไมดูเหมือนสิ่งที่ฉันแบ่งปันกับนักเรียนที่นั่น ไม่ได้เป็นประโยชน์กับพวกเขาเลย?
ในตอนเช้า เพื่อนฉันคนหนึ่งส่งข้อความมาหาฉันว่า… “อย่าพยายามทำคนเดียว” ใช่แล้ว ทำพูดนั้นทำให้ฉันได้ให้พระเจ้าเข้ามาเป็นส่วนร่วมในบทเรียน และขอให้พระองค์ทรงนำฉันในสิ่งที่ฉันกำลังพูด บางทีคุณอาจจะรู้สึกเหมือนฉันขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูที่ปิดอยู่”
จงวางลง ถ้าคุณยอมรับการทรงนำของพระเจ้า ทุกอย่างจะสำเร็จตามที่พระองค์ได้วางแผนไว้ คุณไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ นอกจากยอมรับที่จะวางและปล่อยให้พระเจ้าทำ
คุณจำเป็นต้องไว้วางใจว่าประตูนี้จะเปิดก็ต่อเมื่อ พระเจ้าต้องการ และถ้าพระองค์ต้องการ… สิ่งนั้นก็จะเป็นไปได้สวย
“ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุน เพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ข้าพเจ้ายอมขาดทุนทุกอย่าง และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะเพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์เป็นกำไร และจะได้เห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาจากธรรมบัญญัติ มีแต่ที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ คือความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าโดยความเชื่อ” (ฟีลิปปี 3:8-9)
ขณะที่คุณยืนอยู่นอกประตูที่ล๊อคไว้ ฉันขอถามคำถามหนึ่งกับคุณได้ไหม? มาถึงจุดนี้ คุณยังกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าสามารถทำให้กับคุณ หรืออะไรที่คุณต้องการจะทำอยู่หรือไม่? คุณวางใจพระเจ้าได้หรือไม่ ถึงแม้พระองค์จะไม่เปิดประตูตามที่คุณต้องการ?
”พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ”
คุณคือการอัศจรรย์